รีวิวบรรยากาศกรุ๊ปเหมาเวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน Day 1

ในช่วงวันแรกพวกเรามาถึงกันตั้งแต่เช้าเลยครับรอคุณลูกค้าพักทานอาหารแล้วก็เช็คเอกสารต่างๆ ให้พร้อมเตรียมเข้า gate ที่สุวรรณภูมิ ซึ่งคุณลูกค้าน่ารักมากๆ ให้ความร่วมมือพวกเราเป็นอย่างดีเลย เราได้ทำการเช็คเอกสารและบอกถึงสิ่งต่างๆ ก่อนเดินทางไปเวียดนาม

ขึ้นเครื่องเรียบร้อย เวลาที่ใช้ในการเดินทางเป็นเวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ เราก็พักผ่อนเก็บแรงกัน (หลับเป็นตายนั้นเอง555)

พอถึงที่ "ท่าอากาศยานนานาชาติดานัง" นี่คือสิ่งที่เราเจอครับ คิวยาวมากกกกกกกกกก เพราะมีนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศหลั่งไหลเข้ามาในเวียดนามเยอะมากๆ ทั้งคนไทย คนเกาหลี คนจีน และอีกเยอะแยะมากมาย ทำให้เราเสียเวลาตรง ตม. เยอะมากๆเลยครับ

พอหลุดมาได้ โล่งเลยครับ5555 บรรยากาศที่ดานังดีมากๆ อากาศเย็นๆกำลังดี ไม่มีแดดเลย เหมาะกับการเที่ยวสุดๆครับ

พอขึ้นรถมาได้ เราก็มีการทักทายคุณลูกค้ากันอีกครั้งและแนะนำไกด์ท้องถิ่นที่จะมาดูแลเรา ซึ่งบรรยากาศการจราจรที่เวียดนามต้องบอกเลยว่าสุดๆไปเลยครับ ขับรถกันดุเดือดมากก ซึ่งตอนที่นั่งดูวิวดูถนนไปเรื่อยเราจะสังเกตได้ว่าคนเวียดนามขับมอเตอร์ไซต์กันเยอะมากๆ ซึ่งถามพี่ไกด์มา พี่ไกด์บอกว่ามันสะดวกสบายกว่าการขับรถยนต์ คนเวียดนามเลยนิยมขับขี่มอเตอร์ไซต์กัน และอีกอย่างที่ดีมากๆของเวียดนาม คือ ทุกคนที่ขับขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคกันทุกคนเลย เป็นเพราะว่าหมวกกันน็อคที่นี่ราคาถูกมากๆ ไม่ถึง 100 บาทครับ และด้วยกฎหมายที่เข้มข้นด้วยจึงทำให้ถ้าเราไปเวียดนามจะเห็นแต่คนใส่หมวกกันน็อคกันหมดเลยครับ บรรยากาศบนรถบัสพี่ไกด์ก็อธิบายสิ่งต่างๆให้เวียดนามให้กับทุกๆคนฟัง (พี่ไกด์คนนี้ชื่อพี่ดานะครับ) ซึ่งวันแรกเราได้ขึ้นบาน่าฮิลล์ครับ น่าตื่นเต้นมากๆเลย

ระหว่างทางที่เราจะขึ้นไปบาน่าฮิลล์สวยมากๆครับ บ้านเมืองที่เวียดนามถือว่าสะอาดพอสมควรเลย (แต่อาจจะบางจุดที่กำลังก่อสร้าง เพราะ เวียดนามเปิดประเทศมาได้แค่ 40 ปีเท่านั้นเอง)

พอเราถึงที่หมายแล้วก่อนขึ้นบาน่าฮิลล์เขาจะให้เราซื้อตั๋วก่อน (ซึ่งการมากับทัวร์เราจัดการให้เรียบร้อยครับ) พอจัดการเรื่องตั๋วเสร็จแล้ว ก็ลุยกันเลย

ซึ่งการขึ้นบาน่าฮิลล์เราต้องขึ้นผ่านกระเช้าขึ้นไปครับ ก่อนจะไปชมบรรยากาศกันเรามาดูประวัติของบาน่าฮิลล์กันดีกว่า บานาฮิลล์ นั้นเคยเป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสมาตั้งแต่ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับและได้มีการสร้างบ้านพัก โรงแรมในสไตล์ฝรั่งเศสขึ้นในสมัยที่เป็นอาณานิคมตั้งแต่ปี ค.ศ.1919 และหลังจบสงคราม ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ และกลับประเทศไป ทำให้ บานาฮิลล์ ถูกทิ้งร้าง และกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้งในปี ค.ศ.2009 พร้อมกระเช้าลอยฟ้า 5,801 เมตรที่ต้องใช้เวลาถึง 50 นาทีในการนั่งกระเช้าเพื่อไป นับว่าเป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย แอบบอกตรงนี้ก่อนเลยว่ากระเช้าขึ้นบาน่าฮิลล์สูงมากกกก ขึ้นกระเช้ามาแล้วคนที่กลัวความสูงต้องหลับตาเอาครับ55555 แต่ใครที่ไม่กลัวก็ชมวิวได้เติมที่เลยครับ บนกระเช้าเขาจะกำหมดคนขึ้นกระเช้าทีละ 3 - 5 คนโดยประมาณครับ บรรยากาศตอนขึ้นเช้าของพวกเราในรอบนี้มีอุปสรรคตรงสภาพอากาศที่มีฝนตกครับ ทำให้อาจจะมองไม่ค่อยเห็นวิวบ้าง แต่ก็แลกมากับอะไรบางอย่างที่สุดยอดมากๆ เลยครับ

นั้นก็คืออากาศที่เย็นมากกกกก นั้นเองง ตอนที่ลงจากกระเช้าสิ่งจากที่สัมผัสได้เลยคืออากาศที่เย็นมากๆ ซึ่งรวมกับฝนเข้าไปมือไม้สั่นเลยครับ 5555 ซึ่งบรรยากาศระหว่างการขึ้นไปต้องบอกว่ามีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเยอะมากๆ และบรรยากาศระหว่างทางก็สวยมากๆ (ของเขาทำมาดีจริงๆ)

หลังจากออกมาจากสะพานมือยักษ์กันแล้ว ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศโดยรอบของบาน่าฮิลล์ให้อารมณ์เหมือนอยู่ยุโรปเลยครับ อากาศหนาวแถมด้วยหมอก (ที่เป็นฝน555) ลงทั้งบาน่าฮิลล์เลยครับ อากาศดีมากๆครับ

หลังจากเดินเที่ยวกันเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาเข้าที่พักกันสักที ทางพวกเราได้ทำการแจกจ่ายกุญแจห้องพักให้กับคุณลูกค้าและทำการแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัยครับ

บรรยากาศก่อนเข้าห้องพัก ทางเดินสวยมากกก ซึ่งห้องที่ผมได้คือ ห้อง 6407 นั้นเอง ภาพบรรยากาศในห้องสวยมากๆครับ (ต้องขอใช้รูปในอินเตอร์เน็ตนะครับ ลืมถ่ายมา5555)

หลังจากพักผ่อนกันเสร็จแล้วก็ถึงช่วงสุดท้ายของวันนี้ กินข้าวนั้นเอง ซึ่งบรรยากาศในห้องอาหารก็สวยมากๆครับ เป็นไลน์บุฟเฟ่ต์นั้นเอง

ทางพวกเราหลังจากจัดแจงให้คุณลูกค้าเสร็จก็จัดหนักจัดเต็มเลยครับ เห็นจากจานแต่ละคนก็น่าจะรู้ครับ555555

หลังจากเสร็จทุกอย่างเราก็ออกมาเดินเที่ยวตอนกลางคืนกันครับ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มแล้วที่มา55555 บรรยากาศโรแมนติกสุดๆครับ ใครมีแฟนพาแฟนมาเที่ยวรับรองแฟนรักแฟนหลงครับ5555

แถมให้ครับ อันนี้ผมแคปมาตอนช่วงตี 3 ครึ่งครับ ไอเราก็อยากลงมาเดิมรับบรรยากาศพอลงมาเท่านั้นแหละ ขึ้นให้ไวเลยครับ5555 หนาวมากก เพราะอุณหภูมิอาจจะไม่เย็นมาแต่พอรวมกับลมและฝน โอโห้ ไม่ไหวครับ5555